นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว. พลังงาน เปิดเผยว่า ศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 หรือ ศบศ. ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เห็นชอบขยายเวลามาตรการเราเที่ยวด้วยกันและมาตรการกำลังใจ ที่จะสิ้นสุด 31 ต.ค. 2563 ไปถึง 31 ม.ค. 2564 และขยายเวลาการเบิกจ่ายงบประมาณมาตรการนี้ไปถึง 31 มี.ค. 2564

นอกจากนี้ ยังเห็นชอบปรับปรุงมาตรการดังนี้

(1) อนุมัติให้เจ้าหน้าที่ศูนย์บริการสาธารณสุข สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร จำนวน570 คน และเจ้าหน้าที่หัวหน้างานสาธารณสุขมูลฐานและงานสุขภาพภาคประชาชนระดับจังหวัดและระดับอำเภอกระทรวงสาธารณสุข จำนวน 2,615 คน ให้สามารถเข้าร่วมโครงการกำลังใจได้

(2) อนุมัติให้ผู้ที่เข้าร่วมโครงการเราเที่ยวด้วยกันสามารถใช้บริการโรงแรมที่พัก และใช้ E-Voucher สำหรับค่าสนับสนุนอาหาร ค่าเข้าชมแหล่งท่องเที่ยว ค่าสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ในจังหวัดภูมิลำเนาตามทะเบียนบ้านได้

นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า มาตรการเราเที่ยวด้วยกันจำนวน 5 ล้านห้อง มีคนใช้สิทธิ 1 ล้านห้อง ไม่ได้บอกว่าโครงการนี้ประสบความสำเร็จ แต่ก็ถือว่าไม่ได้ล้มเหลว วัตถุประสงค์คือต้องการให้คนไทยช่วยผู้ประกอบการอุตสาหกรรมท่องเที่ยว โดยเฉพาะผู้ประกอบการโรงแรม นี้คือวัตถุประสงค์หลัก วัตถุประสงค์หลักไม่ได้ต้องการให้พักได้ 5 ล้านห้อง

"เราต้องการให้คนไทยมีส่วนร่วม และก็พิสูจน์แล้วว่าในช่วงที่มีโควิดต้องปิดเมือง อัตราการพักของโรงแรมอยู่ที่ 2-3% แต่วันนี้อัตราการพักโรงแรมอยู่ 27% ขึ้นมา 9 เท่า แม้ว่าโครงการเราเที่ยวด้วยกันไม่ได้ทำให้ห้องพักเพิ่มขึ้นมา 9 เท่า แต่เป็นเพราะว่าคนไทยรู้ว่ามีโครงการที่อยากไปช่วยกัน" นายสุพัฒนพงษ์ กล่าว

นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า โครงการเราเที่ยวด้วยกันไม่ได้หยุดไปไหน ยังคาให้เห็นในสายตาของประชาชนอยู่ตลอดเวลา จึงมีการขยายเวลาโครงการออกไปอีก เพื่อใช้งบจนหมด โดยนายกรัฐมนตรีบอกแล้วให้กระตุ้นไปเรื่อยๆ ให้คนไม่ลืมว่าทุกคนมีหน้าที่ต้องร่วมมือกันสนับสนุนอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบ

"เราควรดีใจด้วยซ้ำไป ว่าคนไทยไม่ต้องการมาใช้งบประมาณของประเทศจากโครงการเราเที่ยวด้วยกัน เขาพร้อมไปเที่ยวเอง เขาเชื่อในวัตถุประสงค์และหลักการของการมีมาตรการเที่ยวด้วยกัน" นายสุพัฒนพงษ์ กล่าว

ข้อมูลจาก : โพสต์ทูเดย์

Author Image

Sunny

Happy Work Happy Life