เคยสงสัยไหมว่าร่างกายของเรา ปกติมีอุณหภูมิเท่าไหร่กัน? ร่างกายของคนเรานั้นจะมีอุณหภูมิที่แตกต่างกันออกไป อาจขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมต่างๆ ด้วย ส่วนใหญ่แล้วจะอยู่ที่ 37 องศาเซลเซียสหรือต่างจากนั้นเล็กน้อย การที่อุณหภูมิของร่างกายเพิ่มสูงขึ้นหรือลดลงนั่นก็ไม่ได้หมายความว่าคุณไม่สบายหรือมีไข้เสมอไป

ปัจจัยที่มีผลต่ออุณหภูมิของร่างกาย อุณหภูมิปกติของร่างกายอาจเปลี่ยนแปลงไปตามสาเหตุ ดังนี้

  • เพศ

โดยปกติแล้วเมื่อร่างกายได้รับความเย็น กลไกของร่างกายจะทำหน้าเพิ่มความอบอุ่นให้แก่ร่างกาย ซึ่งเพศก็มีผลต่อกระบวนการนี้ โดยร่างกายเพศหญิงจะตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิได้รวดเร็วกว่าเพศชาย จึงอาจทำให้เกิดอาการสั่น หรือเนื้อตัวเย็นได้ไวกว่าเพศชาย  นอกจากนี้ ในช่วงที่ผู้หญิงมีรอบเดือนจะมีการหลั่งฮอร์โมนออกมาหลายชนิด ซึ่งอาจส่งผลให้อุณหภูมิร่างกายเปลี่ยนแปลงไปจากปกติ

  • อายุ

อายุเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่ออุณหภูมิร่างกายปกติ โดยคนในแต่ละช่วงอายุอาจมีอุณหภูมิร่างกายที่แตกต่างกัน ดังนี้

  • เด็กและทารก อุณหภูมิร่างกายปกติจะอยู่ระหว่าง 6-37.2 องศาเซลเซียส
  • ผู้ใหญ่ มีอุณหภูมิปกติของร่างกายอยู่ระหว่าง 1-37.2 องศาเซลเซียส
  • ผู้สูงอายุ ที่อายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไป จะมีอุณหภูมิร่างกายต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำกว่าคนวัยอื่น ๆ

อย่างไรก็ตาม อุณหภูมิในแต่ละคนอาจแตกต่างไปตามปัจจัยอื่น ๆ ระดับอุณหภูมิตามช่วงอายุเหล่านี้เป็นค่าโดยประมาณเท่านั้น

  • บุหรี่

การสูบบุหรี่นั้นสามารถเพิ่มอุณหภูมิของร่างกายได้ ซึ่งอาจมีผลมาจากควันบุหรี่และการเผาไหม้ของของบุหรี่ที่กระทบต่ออุณหภูมิของร่างกายได้ชั่วคราว แม้ว่าอุณหภูมิจากบุหรี่จะไม่ได้ส่งผลเสียต่อร่างกาย แต่การได้รับสารในบุหรี่อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้

  • อาหาร

อาหารที่มีรสชาติเผ็ดร้อน อย่างพริก พริกไทย ขิง ข่า เครื่องเทศ หรือวัตถุดิบอื่น ๆ ที่มีฤทธิ์ร้อนก็อาจส่งผลให้อุณหภูมิร่างกายนั้นสูงขึ้น หลังจากการรับประทาน

ตำแหน่งที่ทำการวัดอุณหภูมิ

การวัดอุณหภูมิร่างกาย โดยปกติแล้วจะมี 4 ตำแหน่งหลัก ๆ ซึ่งก็คือ หู ทวารหนัก ใต้ลิ้น และรักแร้ ซึ่งในแต่ละตำแหน่งนั้นมีอุณหภูมิที่แตกต่างกัน และถ้าหากไม่ทราบว่าตำแหน่งไหนควรอยู่ในระดับเท่าไหร่ ก็อาจเกิดการเข้าใจผิดได้ ซึ่งถ้าหากวัดไข้แล้วได้ผลลัพธ์ดังต่อไปนี้อาจต้องรักษาตัวเนื่องจากเป็นไข้

  • ปาก อุณหภูมิเมื่อเป็นไข้จะอยู่ที่ 8 องศาเซลเซียสหรือมากกว่า
  • รักแร้ อุณหภูมิเมื่อเป็นไข้จะอยู่ที่ 2 องศาเซลเซียสหรือมากกว่า
  • หูและทวารหนัก อุณหภูมิเมื่อเป็นไข้จะอยู่ที่ 38 องศาเซลเซียสหรือมากกว่า

นอกจากนี้ อาจมีปัจจัยอื่น ๆ ที่สามารถส่งผลกระทบต่ออุณหภูมิปกติของร่างกายได้ อย่างการทำกิจกรรม การออกกำลังกาย เสื้อผ้า รวมถึงอุณหภูมิภายในห้องที่คุณอยู่ด้วย โดยถ้าหากสงสัยว่ามีไข้ควรไปพบแพทย์ เพื่อเข้ารับการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง

 

วิธีการวัดไข้

การวัดไข้สามารถวัดได้จากหลายจุดในร่างกาย วิธีมาตรฐานที่นิยมใช้แบ่งออกเป็น 5 วิธี 

  • ทางปาก (Orally) เป็นการวัดอุณหภูมิจากใต้ลิ้นภายในช่องปาก
  • ทางรักแร้ (Axillary) เป็นการวัดไข้โดยให้หนีบเทอร์โมมิเตอร์ไว้ที่รักแร้ แต่ค่าอุณหภูมิปกติจะต่ำกว่าการวัดทางปาก
  • ทางทวารหนัก (Rectally) เป็นการวัดไข้โดยการสอดเทอร์โมมิเตอร์เข้าไปทางทวารหนัก ซึ่งค่าอุณหภูมิปกติจะสูงกว่าการวัดทางปาก
  • ทางหู (By Ear) เป็นการวัดอุณหภูมิด้วยเทอร์โมมิเตอร์แบบดิจิทัลทางช่องหู
  • ทางผิวหนัง (By Skin) เป็นการวัดไข้บริเวณหน้าผากด้วยเทอร์โมมิเตอร์ที่มีลักษณะเป็นแผ่นแปะขนาดเล็กและมีตัวเลขแสดงอุณหภูมิ

การวัดไข้อาจเลือกวัดตามความสะดวกหรือแล้วแต่สถานการณ์ หากเป็นการวัดไข้เด็กเล็กและทารกมักจะใช้การวัดทางทวารหนักหรือทางรักแร้ เพราะเป็นวัยที่อยู่นิ่งค่อนข้างยาก จึงทำให้วัดอุณหภูมิด้วยวิธีอื่นได้ลำบาก ซึ่งเทอร์โมมิเตอร์ที่ใช้วัดไข้ส่วนใหญ่จะเป็นแบบปรอทหรือแบบดิจิทัล เพราะใช้งานง่ายและสะดวก แต่แบบดิจิทัลจะมีราคาสูงกว่า

ขั้นตอนในการวัดไข้

การวัดไข้มีขั้นตอนไม่ยุ่งยากและมักเป็นขั้นตอนแรกก่อนเข้าพบแพทย์ทั่วไป สามารถทำได้เองที่บ้าน แต่ในบางวิธีควรได้รับการแนะนำจากแพทย์หรือพยาบาล ซึ่งก่อนวัดไข้ควรมีการทำความสะอาดเทอร์โมมิเตอร์ทั้งก่อนและหลังการใช้ด้วยแอลกอฮอล์เพื่อสุขอนามัยพื้นฐาน หากใช้เป็นปรอทวัดไข้ควรตรวจดูให้แน่ใจว่าแถบสารปรอทอยู่ต่ำกว่าตัวเลข 36 องศาเซลเซียส แต่ถ้าอยู่สูงกว่าควรสะบัดให้สารปรอทลดลงมาก่อนใช้วัดไข้

  • การวัดไข้ทางช่องปาก วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ใหญ่หรือเด็กที่สื่อสารได้รู้เรื่องแล้ว หากใช้ปรอทวัดไข้ควรหลีกเลี่ยงการใช้กับเด็กเล็กที่อายุต่ำกว่า 5 ขวบ เพราะมีความเสี่ยงที่เด็กอาจกัดโดนปรอทแตก
  1. ก่อนการวัดไข้ควรมีการตรวจดูภายในช่องปากว่าไม่มีสิ่งใดตกค้างอยู่ เช่น ลูกอม หมากฝรั่งหรือขนม รวมไปถึงหลีกเลี่ยงการวัดไข้ทันทีหลังการรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่ม แต่ควรรอเวลาอย่างน้อย 20-30 นาที เพราะอาจมีผลต่ออุณหภูมิที่วัดได้
  2. นำเทอร์โมมิเตอร์สอดเข้าไปในปาก โดยให้บริเวณส่วนปลายที่วัดค่าอุณหภูมิอยู่ในตำแหน่งใต้ลิ้น ปิดปากลงให้สนิทชั่วครู่ ห้ามเคี้ยวหรือกัด
  3. เทอร์โมมิเตอร์แบบดิจิทัลให้รอจนสัญญาณเสียงดังขึ้น แต่ถ้าเป็นแบบปรอทวัดไข้ควรรอประมาณ 3-4 นาที ให้แถบสารปรอทหยุดนิ่ง จากนั้นอ่านค่าที่ได้
  • การวัดไข้ทางรักแร้ เป็นวิธีการวัดไข้ที่สะดวกและง่ายดาย แต่อาจให้ผลได้ไม่แม่นยำเท่ากับการวัดไข้ทางปากหรือทวารหนัก วิธีนี้เหมาะสำหรับเด็กแรกเกิดและเด็กเล็กมากกว่าผู้ใหญ่ ทั้งนี้ ควรเลี่ยงการวัดไข้หลังการอาบน้ำหรือสวมเสื้อผ้าที่รัดแน่น เพราะอาจส่งผลต่อค่าที่วัดได้
  1. นำเทอร์โมมิเตอร์สอดเข้าไปที่รักแร้ โดยให้ปลายเทอร์โมมิเตอร์อยู่กึ่งกลางรักแร้และไม่เลยออกไปด้านหลัง จากนั้นหนีบเทอร์โมมิเตอร์ไว้สักพัก
  2. สำหรับเทอร์โมมิเตอร์แบบดิจิทัล ให้รอจนสัญญาณเสียงดังขึ้น แต่ถ้าเป็นแบบปรอทวัดไข้ควรรออย่างน้อย 4 นาที ให้แถบสารปรอทหยุดนิ่ง
  3. จากนั้นอ่านค่าที่วัดได้ โดยค่าอุณหภูมิปกติทางรักแร้จะต่ำกว่าการวัดทางช่องปากประมาณ 6 องศาเซลเซียส
  • การวัดไข้ทางทวารหนัก เป็นวิธีที่นิยมใช้ในเด็กแรกเกิดและเด็กเล็ก แต่ควรทำอย่างระมัดระวังหรือมีผู้เชี่ยวชาญคอยดูแล เพราะมีความเสี่ยงในการเกิดอาการบาดเจ็บ
  1. นำเทอร์โมมิเตอร์ที่ผ่านการฆ่าเชื้อโรคแล้วทาสารหล่อลื่น เช่น ปิโตรเลียมเจลลี่ เพื่อช่วยลดการเสียดสีที่อาจทำให้เจ็บ
  2. จับเด็กนอนคว่ำลงบนบริเวณหน้าตักหรือพื้นที่ราบเรียบ แข็งแรง จากนั้นใช้มือช่วยประคองบริเวณหลังส่วนล่างของเด็ก แต่หากไม่ถนัดก็สามารถวัดไข้โดยให้เด็กนอนหงาย จับขาทั้ง 2 ข้างยกขึ้น
  3. จากนั้นสอดเทอร์โมมิเตอร์อย่างเบามือเข้าไปในก้นลึกประมาณ 25-2.5 เซนติเมตร ขั้นตอนนี้ควรระมัดระวังไม่สอดเทอร์โมมิเตอร์เข้าไปลึกจนเกินไป
  4. จากนั้นถือเทอร์โมมิเตอร์ค้างไว้สักครู่ หากเป็นแบบดิจิทัลให้รอจนสัญญาณเสียงดังขึ้นหรือถ้าเป็นปรอทวัดไข้ควรรออย่างน้อย 2 นาที โดยให้แถบสารปรอทหยุดนิ่ง และอ่านค่าอุณหภูมิที่ได้
  • การวัดไข้ทางหู
  1. ก่อนการวัดไข้ ควรตรวจดูเทอร์โมมิเตอร์ว่ามีสิ่งสกปรกติดอยู่หรือไม่ หากมีติดอยู่ให้ใช้ผ้าสะอาดเช็ดออก แต่ไม่ควรนำไปล้างน้ำ จากนั้นใส่ฝาครอบเทอร์โมมิเตอร์ เพื่อช่วยป้องกันสิ่งสกปรก (ควรเปลี่ยนฝาครอบใหม่ทุกครั้งก่อนการใช้วัดไข้)
  2. หากเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 12 เดือน ให้ดึงติ่งหูลงและเอียงไปทางด้านหลัง เพื่อช่วยให้สอดเทอร์โมมิเตอร์เข้าไปในรูหูได้ง่ายขึ้น แต่สำหรับเด็กอายุมากกว่า 12 เดือนขึ้นไปหรือผู้ใหญ่ควรดึงติ่งหูขึ้นด้านบนและเอียงไปทางด้านหลังแทน
  3. ค่อย ๆ นำเทอร์โมมิเตอร์สอดเข้าไปในช่องหู โดยให้ตำแหน่งที่เป็นตัวรับอุณหภูมิอยู่ตรงตำแหน่งรูหู
  4. กดปุ่มวัดอุณหภูมิและอ่านค่า
  • การวัดไข้ทางผิวหนัง เป็นวิธีที่สะดวกและวัดไข้ได้อย่างรวดเร็ว โดยมักนิยมใช้กับเด็กเล็กมากกว่าผู้ใหญ่ แต่ความแม่นยำอาจน้อยกว่าเมื่อเทียบกับวิธีอื่น
  1. ก่อนการวัดไข้ควรมีการทำความสะอาดผิวบริเวณหน้าผากให้เรียบร้อย จากนั้นนำเอาแผ่นแปะทาบตรงกลางหน้าผากของเด็ก
  2. กดเบา ๆ และรอสักครู่
  3. ลอกแผ่นแปะออกจากหน้าผาก และอ่านผลจากตัวเลขที่แสดงบนแถบด้านบน

การเตรียมตัวก่อนการวัดไข้

ควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมบางประเภทก่อนการวัดไข้หรืออาจรอให้เวลาผ่านไปสักพัก เพราะอาจส่งผลให้อุณหภูมิของร่างกายเพิ่มสูงขึ้น และค่าตัวเลขที่วัดออกมาผิดเพี้ยน เช่น ไม่ควรวัดไข้ทันทีหลังการสูบบุหรี่ รับประทานอาหารและเครื่องดื่ม แต่ควรทิ้งช่วงประมาณ 20-30 นาที แต่ในกรณีที่เพิ่งออกกำลังกายเสร็จหรืออาบน้ำอุ่นมาก่อนหน้านี้ควรรอให้เวลาผ่านไปประมาณ 1 ชั่วโมงแล้วค่อยวัดไข้ นอกจากนี้ อีกสิ่งที่สำคัญ คือ การทำความสะอาดเทอร์โมมิเตอร์วัดไข้ก่อนการใช้งาน โดยสามารถใช้น้ำเย็น น้ำสบู่ หรือเช็ดด้วยแอลกอฮอล์ ขึ้นอยู่กับประเภทของเทอร์โมมิเตอร์

การอ่านผลในการวัดไข้

อุณหภูมิปกติของผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพแข็งแรงจะอยู่ระหว่าง 36.5-37.2 องศาเซลเซียส แต่โดยเฉลี่ยแล้วจะอยู่ที่ประมาณ 37 องศาเซลเซียส ซึ่งในระหว่างวันอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิในร่างกายได้เล็กน้อยจากหลายปัจจัย เช่น อยู่ในช่วงมีประจำเดือนอาจทำให้อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้น ช่วงเช้าจะวัดอุณหภูมิร่างกายได้ต่ำกว่าช่วงบ่าย เด็กอายุมากกว่า 6 เดือนอาจมีอุณหภูมิปกติต่างกัน 1-2 องศาเซลเซียส

เกณฑ์ปกติของอุณหภูมิในร่างกายแบ่งตามวิธีในการวัดไข้ได้ดังนี้

  • อุณหภูมิปกติทางปาก 5-37.5 องศาเซลเซียส
  • อุณหภูมิปกติทางทวารหนัก 6-38 องศาเซลเซียส
  • อุณหภูมิปกติทางรักแร้ 7-37.3 องศาเซลเซียส
  • อุณหภูมิปกติทางหู 8-38.0 องศาเซลเซียส

หากอุณหภูมิที่วัดออกมาสูงกว่าเกณฑ์ข้างต้นแสดงว่าร่างกายมีอาการไข้หรือเกิดความปกติอื่น ๆ  ทั้งนี้ ควรพิจารณาหลายปัจจัยประกอบ ไม่ควรดูเฉพาะค่าอุณหภูมิที่วัดได้เท่านั้น

ผลข้างเคียงของการวัดไข้

ผู้ป่วยอาจรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยในระหว่างการวัดไข้จากหลายวิธี ส่วนความเสี่ยงด้านอื่นควรระมัดระวังในการใช้เทอร์โมมิเตอร์แบบปรอทวัดไข้ ซึ่งอาจเกิดการแตกในขณะการวัดไข้และทำให้ผู้ป่วยได้รับสารปรอทเข้าสู่ร่างกาย รวมไปถึงการวัดไข้เด็กเล็กทางทวารหนักอาจทำให้เกิดอาการปวดหรือเกิดการบาดเจ็บจากการสอดเทอร์โมมิเทอร์ลงไปลึกมากเกินไป เพื่อความปลอดภัย ควรขอคำแนะนำของแพทย์หรือพยาบาล

การดูแลหลังการวัดไข้

หลังการวัดไข้ หากผลการวัดไข้ออกมาเป็นปกติ ไม่ต้องมีการดูแลอื่นเพิ่มเติม แต่ในรายที่มีไข้ไม่สูงมากสามารถบรรเทาอาการด้วยการดื่มน้ำมาก ๆ เพราะอาการไข้อาจทำให้ผู้ป่วยเสียน้ำได้มากกว่าคนปกติและเสี่ยงกับสภาวะการขาดน้ำ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ต้องออกแรงมากจนทำให้อุณหภูมิของร่างกายสูงขึ้น เลือกสวมใส่เสื้อผ้าที่ไม่รัดแน่นจนเกินไป เนื้อผ้าบางเบา และปรับอุณหภูมิห้องให้เย็นสบาย

ผู้ที่มีไข้สูงนานกว่า 3 วัน หรือมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ปวดหัวรุนแรง เป็นผื่นตามตัว ปวดท้อง คอแข็ง หรือบรรเทาอาการขั้นต้นแล้วไม่ดีขึ้น ควรไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุความผิดปกติของอาการไข้ แต่ในกรณีที่เป็นเด็กทารกควรดูแลมากเป็นพิเศษกว่าผู้ใหญ่และพบแพทย์เมื่อมีไข้สูงกว่า 38 องศาเซลเซียส

ข้อมูลจาก : POB PAD

Author Image

Sunny

Happy Work Happy Life