เชื่อว่าหลายคนกำลังตกอยู่ในสถานการณ์เหล่านี้ เบื่อ ไม่อยากทำงาน รู้สึกงานหนักเกินไป อยากนอน ไม่อยากรับรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องงานอีกต่อไป หากคุณรู้สึกอย่างที่เรากล่าวมา ตอนนี้คุณอาจจะอยู่ใน “ภาวะหมดไฟ” หรือก็คือความรู้สึกที่ไม่อยากจะทำงานอีกต่อไป หากคุณกำลังเป็นอยู่ เรามีวิธีแก้ไขให้กับคุณค่ะ แต่ก่อนอื่นเลย เรามาทำความรู้จักและเช็กกันดูก่อนดีกว่าว่าเราอยู่ในข่ายที่กำลังหมดไฟอยู่หรือเปล่า

ภาวะหมดไฟในการทำงานคืออะไร

ภาวะหมดไฟในการทำงาน คือ ภาวะการเปลี่ยนแปลงด้านจิตใจที่เกิดจากความเครียดเรื้อรังในการทำงาน โดยมีอาการหลัก 3 อาการ ได้แก่

1) มีความเหนื่อยล้าทางอารมณ์ รู้สึกสูญเสียพลังงานทางจิตใจ

2) มองความสามารถในการทำงานของตนเองในเชิงลบ ขาดความรู้สึกประสบความสำเร็จ

3) มองความสัมพันธ์ในที่ทำงานไปในทางลบ รู้สึกเหินห่างจากคนอื่นไม่ว่าจะเป็นผู้ร่วมงาน หรือลูกค้า

 

คนทำงานอาจเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหมดไฟ หากรู้สึกว่างานของตนมีลักษณะดังต่อไปนี้

  1. ภาระงานหนัก และปริมาณงานมาก รวมถึงงานมีความซับซ้อน ต้องทำในเวลาเร่งรีบ
  2. ขาดอำนาจในการตัดสินใจ และมีปัญหาการเรียงลำดับความสำคัญของงาน
  3. ไม่ได้รับการตอบแทน หรือรางวัลที่เพียงพอต่อสิ่งที่ทุ่มเทไป
  4. รู้สึกไร้ตัวตนในที่ทำงาน หรือไม่เป็นส่วนหนึ่งของทีม
  5. ไม่ได้รับความยุติธรรม ขาดความเชื่อใจ และการเปิดใจยอมรับกัน
  6. ระบบบริหารในที่ทำงานที่ขัดต่อคุณค่า และจุดมุ่งหมายในชีวิตของตนเอง

ระยะต่าง ๆ ในการทำงานซึ่งนำมาสู่ภาวะหมดไฟ (Miller & Smith, 1993) แบ่งได้ดังนี้

  1. ระยะฮันนีมูน (the honeymoon) เป็นช่วงเริ่มงาน คนทำงานมีความตั้งใจ เสียสละเพื่องานเต็มที่ พยายามปรับตัวกับเพื่อนร่วมงาน และองค์กร
  2. ระยะรู้สึกตัว (the awakening) เมื่อเวลาผ่านไป คนทำงานเริ่มรู้สึกว่าความคาดหวังของตนอาจไม่ตรงกับความเป็นจริง เริ่มรู้สึกว่างานไม่ตอบสนองกับความต้องการของตนทั้งในแง่การตอบแทน และการเป็นที่ยอมรับ คนทำงานอาจรู้สึกว่าชีวิตดำเนินอย่างผิดพลาด และไม่สามารถจัดการได้ ทำให้เกิดความขับข้องใจ และเหนื่อยล้า
  3. ระยะไฟตก (brownout) คนที่งานรู้สึกเหนื่อยล้าเรื้อรัง และหงุดหงิดง่ายขึ้นอย่างชัดเจน อาจมีการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตเพื่อหนีความขับข้องใจ เช่น ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ดื่มสุรา ส่งผลให้ความสามารถในการทำงานเริ่มลดลง อาจเริ่มมีการแยกตัวจากเพื่อนร่วมงาน มีการวิพากษ์วิจารณ์องค์กรของตนเอง
  4. ระยะหมดไฟเต็มที่ (full scale of burnout) หากช่วงไฟตกไม่ได้รับการแก้ไข คนทำงานจะเริ่มรู้สึกสิ้นหวัง มีความรู้สึกว่าตนเองล้มเหลว สูญเสียความมั่นใจในตนเองไป มีอาการของภาวะหมดไฟเต็มที่
  5. ระยะฟื้นตัว (the phoenix phenomenon) หากคนทำงานได้มีโอกาสผ่อนคลาย และพักผ่อนอย่างเต็มที่ จะสามารถกลับมาปรับตนเองและความคาดหวังต่องานให้ตรงกับความเป็นจริงมากขึ้น รวมถึงสามารถปรับแรงบันดาลใจ และเป้าหมายในการทำงานด้วย

หากภาวะหมดไฟไม่ได้รับการจัดการ อาจส่งผลด้านต่างๆ ดังนี้

- ผลด้านร่างกาย: อาจพบอาการเหนื่อยล้าเรื้อรัง ปวดเมื่อย ปวดศีรษะ

- ผลด้านจิตใจ: บางรายอาจสูญเสียแรงจูงใจ หมดหวัง รู้สึกหมดหนทางที่จะช่วยให้ดีขึ้น ส่งผลให้มีอาการของภาวะซึมเศร้า และอาการนอนไม่หลับได้ อาจพบมีการใช้สารเสพติดเพื่อจัดการกับอารมณ์

- ผลต่อการทำงาน: อาจขาดงานบ่อย ประสิทธิภาพการทำงานลดลง อาจคิดเรื่องลาออกในที่สุด

 

สัญญาณเตือนว่าเริ่มเกิดภาวะหมดไฟ

- อาการทางอารมณ์: หดหู่ เศร้า อารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย หงุดหงิด ไม่พอใจในงานที่ทำ

- อาการทางความคิด: เริ่มมองงานหรือคนอื่นในแง่ร้าย ระแวงง่ายขึ้น โทษคนอื่น สงสัยความสามารถของตนเอง และอยากเลี่ยงปัญหา

- อาการทางพฤติกรรม: หุนหันพลันแล่น ผัดวันประกันพรุ่ง ทำกิจกรรมสร้างความสุขลดลง เริ่มมาทำงานสายบ่อยขึ้น บริหารจัดการเวลาแย่ลง

 

หากเกิดภาวะหมดไฟ จะจัดการอย่างไร

1.นอนหลับพักผ่อนให้เป็นเวลา

หากเรารู้สึกว่าพักผ่อนเท่าไหร่ก็ไม่เพียงพอ ลองมาปรับเวลานอนของเราดูดีไหม? พยายามนอนให้เป็นเวลาและนอนให้เพียงพอสำหรับวัยและร่างกายของเราต้องการ ช่วยให้สมองของเราปลอดโปร่งและรู้สึกสดชื่นมากขึ้นกว่าเดิม

2.ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่

อย่ากินแต่ของที่ตัวเองอยากกิน และอย่ากินของหวานเยอะ พยายามกินอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่และมีปริมาณที่เท่าๆ กัน เพื่อให้สมดุลกับร่างกายของเรา ดื่มน้ำให้เพียงพอกับร่างกาย ช่วยในการลดความเครียดในการทำงานและยังทำให้หุ่นดีขึ้นด้วย

3.หากิจกรรมทำนอกเวลา

เวลาว่างๆ เราไม่ควรเอาแต่นอนซึมอยู่บนเตียงนอน ลองหากิจกรรมที่เราอยากทำมานานมาทำในเวลาว่างดู ไม่ว่าจะเป็นการดูหนัง ฟังเพลง ออกกำลังกาย หรือบางทีเราอาจจะลาหยุด เพื่อออกไปท่องเที่ยวในประเทศหรือต่างประเทศดู เป็นการผ่อนคลายที่ดีอีกทาง

4.ปรับทัศนคติในการทำงาน

ก่อนที่เราจะเข้าไปทำงานที่บริษัทใดบริษัทหนึ่ง เราควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับบริษัทที่เราจะต้องทำก่อน ทั้งในภาพรวมใหญ่ๆ อย่างตัวองค์กร และการมองแบบเจาะลึกลงไป เช่น วัฒนธรรมองค์กร เพื่อนร่วมงาน ระบบการทำงานภายในองค์กร และทัศนคติของเราที่มีต่อการทำงานด้วย

5.เปิดใจให้กับคนรอบข้าง

อย่ามัวแต่ปิดกั้นตัวเอง ไม่ยอมรับฟังความเห็นของอื่น ลองเปิดโอกาสให้คนอื่นบ้าง ลองปรึกษาเพื่อนร่วมงานหรือหัวหน้างานดูเ เปิดใจยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่าง แล้วเราอาจจะพบกับโลกแบบใหม่ที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน เป็นการเปิดโลกให้กว้างขึ้นกว่าเดิม

 

อย่างไรก็ดี ภาวะหมดไฟในการทำงานไม่ใช่โรคซึมเศร้า แต่ถ้าหากคนทำงานเริ่มมีอาการเศร้าหดหู่ เบื่อหน่ายสิ่งรอบตัว รู้สึกทุกข์ทรมานกับการใช้ชีวิต หรือมีความคิดไม่อยากมีชีวิตอยู่ ควรสงสัยว่าอาจเป็นโรคซึมเศร้าแนะนำให้ปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ

 

บทความแนะนำ

 

Author Image

Sunny

Happy Work Happy Life