“New Normal” ชีวิตปกติแบบใหม่หลังการระบาดโควิด-19
หลังจากเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ผู้คนมากมายต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตกันใหม่เกือบหมด เพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อไวรัสโคโรน่า จนทำให้เกิดการใช้ชีวิตแบบใหม่ขึ้นหรือที่เราได้ยินกันบ่อยๆ ในช่วงนี้คือ ‘New Normal’ มาดูกันเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับการใช้ชีวิตปกติที่ไม่ปกติเหมือนเคยกันบ้าง
“New Normal” คืออะไร
คำว่า New normal ได้มีการนำมาใช้อย่างแพร่หลายในช่วงที่มีการระบาดของ COVID-19 ซึ่ง Oxford dictionary ได้ให้คำนิยามไว้ว่า
“A previously unfamiliar or atypical situation that has become standard, usual, or expected.”
ซึ่งก็มีความหมายคือ สถานการณ์หรือปรากฏการณ์ ที่แต่เดิมเป็นสิ่งที่ไม่ปรกติ ผู้คนไม่คุ้นเคย ไม่ใช่มาตรฐาน ต่อมามีเหตุหรือเกิดวิกฤตบางอย่าง จึงมีการเปลี่ยนแปลง ทำให้สถานการณ์หรือปรากฏการณ์นั้นกลายเป็นสิ่งที่ปรกติและเป็นมาตรฐาน
New Normal ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตอย่างไรบ้าง
พฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน
- ผู้คนจะยังคงมี Social Distance แม้ว่าจะหมดโควิดไปแล้ว เว้นระยะห่างซึ่งกันและกัน ทำให้เกิดพฤติกรรม Human touch น้อยตามลงไปด้วย
- วัฒนธรรมของผู้คนในบางประเทศจะเกิดการเปลี่ยนแปลง เช่น การจุ๊บหรือการจับมือ ที่ต้องใช้การสัมผัสกันโดยตรง อาจเปลี่ยนเป็นการไหว้ ที่ไม่มีความจำเป็นต้องสัมผัสกัน
- ผู้คนจะเน้นการอยู่ที่บ้าน มากกว่าการออกไปสถานที่ต่างๆ เน้นทำกิจกรรมในบ้านมากยิ่งขึ้น
- จากปกติที่ชอบไปเที่ยวต่างประเทศบ่อยๆ อย่างน้อยก็ปีละครั้ง อาจจะลดการเที่ยวต่างประเทศให้น้อยลงหรืองดการไปเที่ยวต่างประเทศสักระยะ รวมถึงการไปเที่ยวในประเทศด้วย
- ผู้คนหันมาสนับสนุนการบริโภคภายในประเทศ หรือ Domestic Consumption มากยิ่งขึ้น
- ประหยัดค่าใช้จ่ายมากยิ่งขึ้น หากอะไรที่ไม่จำเป็นก็ไม่ซื้อ และพยายามไม่ซื้อของที่มีราคาแพง
สมดุลในการใช้ชีวิต (Work Life Balance)
หลังจากที่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 หลายบริษัทได้มีนโยบายในการ Work from home หรือการทำงานที่บ้าน หลังจากการทดลองทำงานที่บ้านมาซักระยะก็ได้พิสูจน์ว่า การทำงานที่บ้านไม่ได้ทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดน้อยลง หรืออีกนัยหนึ่งก็คือเราไม่จำเป็นต้องมาทำงานที่ออฟฟิศก็ได้
อย่างไรก็ตาม บางองค์กรก็ไม่สนับสนุนการทำงานที่บ้าน บางองค์กรหรือบางตำแหน่งงานก็ไม่เอื้อต่อการทำงานที่บ้าน ซึ่งอาจมีการปรับเปลี่ยนหรือมีการเพิ่มลดการ Work from home เช่น การทำงานที่ออฟฟิศสลับกับการทำงานที่บ้าน เพื่อให้เกิดสมดุลการใช้ชีวิต Work Life Balance ด้วย
จากนโยบาย Work from home ทำให้หลายๆ คนได้ทำในสิ่งที่ไม่ได้ทำและมีสุขภาพจิตที่ดีขึ้น ปกติเราต้องออกไปทำงาน เจอรถติด มลพิษฝุ่นควัน ข้าวเช้าแทบไม่ได้กิน ต้องตื่นแต่เช้าไปขึ้นรถไฟฟ้าในสภาพแออัด แต่พอได้มาทำงานที่บ้านก็สามารถทำอาหารเช้าทานเองได้ ไม่จำเป็นต้องตื่นเช้าเกินความจำเป็น สามารถผ่อนคลายได้อย่างแท้จริงกับชีวิตที่ไม่ต้องเร่งรีบตลอดเวลา อีกทั้งยังทำให้ประหยัดค่าเดินทางได้อีกเยอะด้วย
เทคโนโลยีมีบทบาทและความจำเป็นในชีวิต
คนส่วนใหญ่มักคิดว่าคนที่ใช้เทคโนโลยีส่วนมากคือวัยรุ่นและวัยทำงาน แต่เมื่อมาถึงยุคที่เราไม่สามารถออกมาข้างนอกได้ อีกทั้งยังต้องคอยอัพเดตข่าวอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะทำอะไรก็ต้องทำผ่านสมาร์ทโฟน ทำให้ความสำคัญในการใช้เทคโนโลยีมีความจำเป็นสำหรับคนทุกเพศทุกวัย
เทคโนโลยีได้การเป็นเรื่องในชีวิตประจำวัน ทั้งการ Work from home, การสั่งอาหาร Food delivery และการเรียนออนไลน์ ล้วนแล้วแต่ต้องใช้สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ หรืออินเตอร์เน็ต ไม่เพียงแค่ประชาชนทั่วไปเท่านั้น ทางภาคธุรกิจเองก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยและสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป เพื่อให้ธุรกิจยังคงดำเนินต่อไปได้ แม้ในสภาพเศรษฐกิจที่ติดลบเช่นนี้ ขับเคลื่อนเข้าสู่ Digital Transformation ที่มีความรวดเร็วมากกว่าเดิม
เทรนด์รักสุขภาพจะกลับมาบูมอีกครั้ง
จากเหตุการณ์ที่ผ่านมา ทำให้หลายคนตระหนักถึงการดูแลสุขภาพร่างกายให้ดี ทั้งของตนเองและของส่วนรวม เพราะหากติดเชื้อไวรัสขึ้นมา ก็ยากที่จะรักษาหาย หรืออาจไม่หายเลยก็ได้ โดยเฉพาะการรับประทานอาหาร พยายามไม่กินอาหารแปลกอย่างสัตว์ป่าที่มีเชื้อโรคเยอะ ทานอาหารจำพวกผักและอาหารที่ปรุงสุกสะอาดเท่านั้น หมั่นออกกำลังกายให้แข็งแรงเสมอ เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย
นอกจากนี้ การไปสถานบริการต่างๆ ก็ควรมีการป้องกันตัวเองมากขึ้น เช่น การสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาที่ต้องอยู่ในที่สาธารณะ ล้างมือด้วยสบู่และน้ำสะอาด พกเจลแอลกอฮอล์ที่มีปริมาณแอลกอฮอล์ 75-90% ขึ้นไป การเว้นระยะห่างในการขึ้นรถสาธารณะและช่องชำระสินค้า หากต้องการซื้อสินค้า อาจมาเปลี่ยนมาเป็นการสั่งของแบบออนไลน์ เพื่อลดการออกไปเจอกับสถานที่แออัดให้ได้มากที่สุด
ระบบการศึกษาแบบใหม่
ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ไม่ได้ส่งผลกระทบแค่คนหาเช้ากินค่ำเท่านั้น แต่ยังรวมถึงนักเรียนนักศึกษาที่ไม่ได้ไปเรียนที่สถานศึกษาอีกด้วย เมื่อมีการเรียนออนไลน์เกิดขึ้น ก็ทำให้เราตระหนักถึงปัญหาด้านการศึกษาที่แท้จริง นักเรียนส่วนใหญ่ไม่สามารถนั่งเรียนออนไลน์ที่บ้านได้ด้วยปัจจัยต่างๆ เช่น
บ้านบางคนก็ไม่ได้มีเงินมากมาย พอที่จะซื้อคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟนมาใช้ในการเรียนได้ การขาดสมาธิในการเรียน ไม่สามารถจดจ่อกับสิ่งที่เรียนบนหน้าจอคอมได้ อีกทั้งบางทีสัญญาณอินเตอร์เน็ตก็ไม่ค่อยดี รวมถึงกฎระเบียบเกี่ยวกับการแต่งตัวและทรงผมที่โรงเรียน ที่ทำให้เราเห็นว่าสิ่งเหล่านั้นไม่มีผลกระทบต่อการเรียนออนไลน์แต่อย่างใด
ดังนั้น ควรมีการปรับเปลี่ยนหลักสูตรในการเรียนออนไลน์ขึ้น เนื่องจากหลักสูตรก่อนหน้านี้ค่อนข้างยุ่งเหยิงและไม่สามารถจับหาความสำคัญได้แต่อย่างใด โฟกัสในสิ่งที่ไม่มีความจำเป็น ควรมีการปรับปรุงและแก้ไขให้เหมาะสำหรับการเรียนออนไลน์มากยิ่งขึ้น อย่างการให้ครูและลูกศิษย์มีปฏิสัมพันธ์กันมากขึ้นหรือการเชื่อมโยงความรู้ที่สอนกับเหตุการณ์ในปัจจุบัน เพื่อให้นักเรียนรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ใช้ได้จริงและใกล้ตัวมากขึ้นกว่าเดิม
สรุป
หากมองตามความเป็นจริงแล้ว ถึงแม้จะไม่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 สังคมของเราก็จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการใช้เทคโนโลยีที่คนรุ่นเก่าๆ ยังมองว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้หรือระบบการศึกษาที่เน่าเฟะมานาน ก็ควรได้รับการเปลี่ยนแปลง เพื่อให้นักเรียนได้รับความรู้และการเรียนที่ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม
อย่างไรก็ตาม หลายคนอาจจะยังไม่เคยชินกับชีวิต New Normal ที่ต้องทำทุกอย่างแตกต่างไปจากปีก่อนเป็นอย่างมาก มีทั้งชอบและไม่ชอบปนกันไปจนรู้สึกไม่เป็นธรรมชาติ แต่เพราะสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป ทำให้มนุษย์ต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ด้วยความจำเป็น
บทความแนะนำ