วันนี้ แอดมินจะฝากความในใจของ HR มาให้กับผู้สมัครงานทุกคนกัน อย่างที่เรารู้กันดีว่า ตำแหน่ง HR ย่อมาจาก Human Resource ภาษาไทยก็คือ ตำแหน่งดูแลทรัพยากรมนุษย์ ภายในองค์กร เป็นคนที่บริหารเกี่ยวกับเรื่องของคนทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการรับสมัครคน การดูแลสวัสดิภาพเกี่ยวกับคนในที่ทำงาน และ เรื่องต่างๆ อีกมากมาย เรียกได้ว่า วันหนึ่งนี่หัวปั่นสุดๆ เพราะการทำงานกับคน ถือเป็นเรื่องยากมากเลยทีเดียว
อีกหนึ่งหน้าที่ของ HR ก็คือ การรับสมัครคนเข้าทำงาน และ ทุกครั้งที่ HR ต้องดูใบสมัครงานกับคนที่มาสมัครงาน ก็ต้องปวดหัวจนถึงขั้นกุมขมับทุกครั้ง เพราะบางอย่างก็ทำให้ต้องตัดคะแนนออกไป ไม่มีความโดดเด่น ข้อมูลน้อย แม้แต่คนที่มีประสบการณ์มามาก สมัครตำแหน่งสูงๆ ก็มีพลาดเช่นกัน JobsChiangrai จึงจะมาบอกต่อให้กับคนสมัครงานว่า มีอะไรบ้างที่ HR อยากบอกกับเรา
7 สิ่งที่ HR อยากบอกกับคนสมัครงาน
เขียนเล่าเรื่องราวชีวประวัติของตัวเอง
เวลาที่เราต้องเขียนประวัติส่วนตัวลงในเรซูเม่ เรามักคิดว่า จะเขียนอย่างไรให้มันดูเต็มๆ และยาวดี โดยที่ไม่สนใจเนื้อหาหลักแต่อย่างใด สำหรับ HR แล้ว ไม่ได้สนใจเรื่องพวกนั้นมาก เพราะคุณสามารถไปแนะนำตัวให้กับพวกเขาได้ หลังจากที่ผ่านการประเมินจากเรซูเม่ ดังนั้น ควรเขียนให้สั้นและกระชับเข้าไว้ เน้นเนื้อ ไม่เน้นน้ำ แต่ต้องมีความสุภาพด้วยเช่นกัน
ใส่ประสบการณ์การทำงาน ให้มากกว่าประวัติการเรียน
หลายคนที่โดดเด่นในเรื่องของการเรียน ก็มักจะใส่ผลการเรียนหรือประวัติการเรียนของตัวเองเรียงยาวเต็มไทม์ไลน์ เรียกได้ว่า แค่ไทม์ไลน์การเรียน ก็เต็มหน้ากระดาษแล้ว สำหรับชีวิตการทำงาน โดยเฉพาะคนที่มีประสบการณ์ในการทำงาน HR ไม่ได้สนใจเรื่องราวตอนที่คุณเรียนมากมายเท่าไหร่ แต่สนใจว่า คุณเรียนมาตรงสายหรือไม่ ได้คะแนนประมาณเท่าไหร่ แล้วประสบการณ์การทำงานมีไหม เท่านั้นเอง
ไม่ต้องใส่งานอดิเรกหรือความสนใจส่วนตัวมา
เรื่องงานอดิเรกและความสนใจส่วนตัว ไม่มีผลต่อการทำงานแต่อย่างใด การที่คุณเขียนมา เพื่อให้เต็ม ทาง HR กลับมองว่า มันเป็นเรื่องที่ไม่ควรเขียนมา เพราะไม่มีผลต่อการตัดสินใจ สำหรับ HR บางที่ ก็อาจจะตัดคะแนนตรงนี้ไปด้วยก็ได้ เพราะนอกจากจะไม่มีส่วนในการทำงานแล้ว ยังทำให้เรซูเม่ดูรก และ ไม่ส่งผลต่อการตัดสินใจรับเข้าทำงานแต่อย่างใด
ใช้อีเมล์ในการสมัครงานที่เป็นทางการ
แม้กระทั่ง E-mail ก็มีส่วนสำคัญในการรับเข้าทำงานเช่นกัน ทาง HR จะดูว่า อีเมล์ของคุณมีความเป็นทางการมากน้อยแค่ไหน เพราะมันสามารถสื่อถึงลักษณะการทำงานของเราได้เช่นกัน บางคนใช้อีเมล์ตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม อย่างเช่น [email protected] แบบนี้ HR ก็ไม่ให้ผ่านอย่างแน่นอน ชื่ออีเมล์ไม่เป็นทางการ มีคำที่ดูเหมือนเล่นๆ มากเกินไป ดูไม่มีความตั้งใจในการสมัครงาน
อย่าใส่ข้อมูลเกินความเป็นจริง
เข้าใจว่าอยากให้บริษัทเลือกเรา แต่การใส่ข้อมูลเกินความเป็นจริง ก็จะทำให้เราลำบากในภายหลังได้เช่นกัน บางคนเขียนไปว่า สามารถพูดได้ 4 – 5 ภาษา ทั้งที่ความจริงพูดได้แค่ 2 ภาษา หรือ เขียนลงไปในประวัติว่า สามารถทำโปรแกรมนี้ได้อย่างคล่องแคล่วมาก แต่เอาจริงๆ มีความรู้เท่าหางอึ่ง พอไปทำงานจริง หรือ อาจจะแค่ตอนสัมภาษณ์งาน ทาง HR จับได้ ก็ไม่ให้ผ่านแล้ว บางคนอาจโดน Blacklist ด้วยซ้ำ
ดีไซน์เรซูเม่ จนอ่านอะไรไม่ออก
ยุคสมัยเปลี่ยนไป เรซูเม่มีการออกแบบที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น เพื่อเป็นการดึงดูดความสนใจของ HR แต่สำหรับการทำเรซูเม่บางประเภท ก็ควรตกแต่งให้เหมาะสมกับตำแหน่งที่ตนเองสมัคร หรือ ต่อให้สมัครไปเป็น creative ของบริษัท ตกแต่งเรซูเม่สวย แต่ว่าไม่สามารถอ่านตัวหนังสือออก ก็ทำให้บริษัทตัดสินใจที่จะไม่เลือกเช่นกัน เพราะเป็นคนที่ไม่มีความบาลานซ์ในตัวเอง
ห้ามให้มี ‘คำผิด’ เด็ดขาด
นี่เป็นข้อสำคัญมาก ในการทำเรซูเม่ ถ้าหากมีคำผิดแม้แต่คำเดียว จะแสดงให้เห็นว่า เราเป็นคนที่ไม่มีความละเอียดรอบคอบ หรือ อาจจะไม่ใส่ใจกับการสมัครงานมากเท่าไหร่ บ่งบอกให้เห็นถึงความไม่จริงจังของเรา ก่อนที่จะทำการส่งเรซูเม่ไปให้ทางบริษัท เราควรเช็คให้ดีก่อนว่า มีคำผิดอยู่ตรงไหนไหม หากไม่แน่ใจ ก็ลองในพจนานุกรมภาษาไทยดู
สรุป
ในวันๆ หนึ่ง HR ต้องรับบทหนักในการรับสมัครคนเข้ามาทำงานในบริษัท ต้องอ่านเรซูเม่ของผู้สมัครงานเยอะแยะมากมาย HR ไม่ได้มีเวลามากมายในการดูใบสมัครหรือเรซูเม่อย่างละเอียดเท่าที่ควร มักจะโฟกัสไปที่ประสบการณ์การทำงานและทักษะในการทำงานมากกว่า เน้นเรซูเม่ที่สามารถอ่านได้อย่างง่ายดาย แต่ก็ต้องมีดีไซน์ที่ทำให้ดูโดดเด่นด้วยเช่นกัน สิ่งที่ได้บอกไปข้างต้น ก็คือ สิ่งที่เหล่า HR ต้องการบอกกับผู้สมัครงานทุกคน หากว่าเรายังทำเรซูเม่ผิดอยู่ ก็ได้เวลากลับไปแก้ไขแล้ว