ทำงานอยู่ดีๆ ก็ปวดหัวคลื่นไส้ เชื่อว่ามีหลายคนที่กำลังมีอาการแบบนี้ เราเรียกกันว่า “ความเครียด” เป็นภาวะของอารมณ์หรือความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อบุคคลต้องเผชิญกับปัญหาต่างๆ และทำให้รู้สึกถูกกดดัน ไม่สบายใจ วุ่นวายใจ กลัว วิตกกังวล ตลอดจนถูกบีบคั้น เมื่อเรารับรู้ได้ว่ากำลังมีปัญหา มีสิ่งที่เข้ามาคุกคามจิตใจ หรืออาจจะก่อให้เกิดอันตรายแก่ร่างกาย จะส่งผลให้สภาวะสมดุลของร่างกายและจิตใจเสียไป

อีกทั้งยังส่งผลต่อพฤติกรรมประจำวันทำให้เกิดปัญหาอย่างเช่น การนอนไม่หลับหรือป่วยง่าย หากเรารู้วิธีจัดการและบรรเทาความเครียดต่างๆ อย่างน้อยก็ช่วยให้เราพร้อมรับมือกับความเครียดได้มากขึ้น มาดูวิธีจัดการความเครียดง่ายๆ กันดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง

 

ลาออกจากวงการโซเชียลมีเดียสักพัก

ในสังคมยุคนี้ คงปฏิเสธกันไม่ได้เลยว่ามีหลายคนที่ไม่สามารถใช้ชีวิตโดยขาดโซเชียลมีเดียได้เลย ไม่ว่าจะไปไหนหรือทำอะไรก็ต้องคอยเปิดนู่นดูนี่อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นในคอมพิวเตอร์หรือในโทรศัพท์มือถือ ตื่นมาก็ต้องคอยเช็ค Facebook IG หรือเวลาติดต่องานก็ต้องใช้โทรศัพท์มือถือติดต่อ ไม่ว่าจะเป็นทาง Line หรืออะไรก็ตามแต่ จะทำอะไรก็ต้องใช้โซเชียลมีเดีย เพราะทำให้ชีวิตการเป็นอยู่ของเราสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ทำให้เราหมกหมุ่นกับมันมากกว่าเดิม

เรามาลองเปลี่ยนวิถีการใช้ชีวิตสักหน่อยดีไหม? ใช้โซเชียลมีเดียกันเฉพาะเวลาที่จำเป็นหรือลดการใช้โซเชียลมีเดียแล้วมองหน้ากันให้มากขึ้น ยิ่งช่วงวันหยุด ลาออกจากวงการโซเชียลมีเดียกันไปสักพักเลยได้ก็ดี จะช่วยลดความเครียดให้กับเรา รวมถึงสุขภาพร่างกายด้วย

 

แอบงีบสักพัก

‘การงีบหลับ’ สำหรับบางคนที่ฟังแล้วอาจจะรู้สึกไม่ดี เหมือนกับว่ากำลังทำผิดต่อที่ทำงาน แต่แท้จริงไม่ใช่เลย (ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์เช่นกัน) การงีบหลับเป็นสิ่งที่ดี เพราะมันจะช่วยให้ร่างกายของเราได้รีบูตหรือเพิ่มพลังงานการใช้ร่างกายและสมองให้กับเรา

ลองคิดดูว่าขนาดคอมพิวเตอร์ที่ว่าทน เมื่อทำงานไปนานๆ ก็เริ่มช้าลงและอาจจะพังลงไปในที่สุด แต่หากคุณ Restart เครื่องอีก คอมพิวเตอร์ของคุณก็จะกลับมาปกติอีกครั้ง เช่นเดียวกับสมองของคุณ เมื่อสมองเริ่มทำงานจนเหนื่อยล้าแล้ว ก็ต้องการการพักผ่อนเช่นกัน แม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่ก็ได้รับประโยชน์มากเช่นกัน

 

ลุกออกจากที่ไปยืดเส้นยืดสายบ้าง

สมัยเด็กๆ เราแทบจะไม่ได้แตะคอมพิวเตอร์หรือนั่งอยู่กับที่นานๆ เลย เพราะเราสามารถไปวิ่งเล่นได้ แต่พอเมื่อเราเริ่มทำงาน โดยเฉพาะพนักงานออฟฟิศอย่างเราๆ ที่ต้องอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ทุกวี่ทุกวัน อยู่กันแบบยาวๆ 8-9 ชั่วโมง ทำให้หลายคนเจอเข้ากับปัญหาออฟฟิศซินโดรม (Office syndrome) มีอาการปวดเมื่อยเป็นประจำ โดยเฉพาะที่คอ บ่า ไหล่

การนั่งหรือทำอะไรด้วยท่าเดิมซ้ำๆ ทำให้เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นเส้นเลือดขอดที่ขาหรือกระดูกอ่อนแอได้ ควรลุกขึ้นจากเก้าอี้ทุกๆ 1 ชั่วโมง ไปเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าล้างมือ ดื่มน้ำ เป็นต้น และคอยเปลี่ยนอิริยาบถในการทำงาน คุณอาจยกคอมพิวเตอร์ไปยืนทำบนโต๊ะสูง เดินเปลี่ยนโต๊ะทำงาน ยืดเส้นยืดสายที่ขาบ้างระหว่างวัน

 

ออกไปสูดอากาศข้างนอก

อยู่แต่ในออฟฟิศนานๆ มีแต่กลิ่นของเครื่องปรับอากาศ กลิ่นกระดาษ กลิ่นอาหาร กลิ่นประจำของออฟฟิศ เราอาจจะชินกับกลิ่นพวกนี้แล้ว แต่มันก็ไม่ได้ดีต่อสุขภาพของเราแต่อย่างใด เพราะมันไม่ใช่อากาศที่ดีและยังไม่ทำให้สดชื่นอีกด้วย

ลองเปลี่ยนบรรยากาศออกไปเดินเล่นข้างนอกดู ได้พักสายตาไปมองอะไรไกลๆ ที่ไม่ใช่แค่คอมพิวเตอร์หรือโต๊ะทำงานที่แสนรก ยิ่งถ้าที่ทำงานมีชั้นดาดฟ้าหรือมีสวนให้ก็ยิ่งดี เพราะธรรมชาติและสถานที่ปลอดโปร่งจะช่วยให้เราผ่อนคลายได้เป็นอย่างดี

 

ทานของโปรดสุดอร่อย

เวลาที่ทำงานมาเหนื่อยๆ สิ่งที่เยียวยาได้ดีที่สุด (แบบชั่วคราว) ก็คือ ‘ของกินอร่อยๆ’ นี่แหละ เวลาที่คุณรู้สึกเครียดจะทำให้เกิดอาการที่เรียกว่า การกินตามอารมณ์ (emotional eating) หรือการกินเพราะความเครียด (stress eating) มักจะเป็นปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ ซึ่งเป็นปฏิกิริยาที่ร่างกายตอบสนอง ต่อฮอร์โมนแห่งความเครียด

เมื่อเราได้กินของอร่อย มีความสุขกับรสชาติที่ได้สัมผัส ร่างกายก็จะหลั่งเอาสารเซโรโทนิน (Serotonin) ออกมาหรือที่เราเรียกว่า ‘สารแห่งความสุข’ สารสื่อประสาทที่ช่วยลดความเครียดและอาการซึมเศร้า แต่หากเรากินเยอะเกินไป โดยเฉพาะของหวาน ก็จะเป็นผลเสียต่อร่างกาย ทำให้เกิดโรคอ้วนและโรคเบาหวานตามมาได้

 

ระบายความรู้สึกกับคนที่ไว้ใจได้

เวลาที่เราเครียดจัดๆ เรามักไม่อยากเก็บมันไว้คนเดียวหรอก เพราะมันจะทำให้เรารู้สึกอึดอัดจนแทบจะอกแตกตายเลยล่ะ ในชีวิตของเรามักจะมีคนๆ หนึ่งหรือคนที่ไว้ใจได้อยู่ประมาณ 2-3 คน หากเราได้ระบายความรู้สึกกับใครสักคนที่พร้อมที่จะรับฟังเราและสามารถให้คำปรึกษาที่ดีและเปิดกว้าง ก็จะเป็นผลดีต่อตัวเรา ถ้าหากเจอคนแบบนั้นแล้วล่ะก็ ต้องรักษาไว้ให้ดีๆ

 

ออกไปท่องเที่ยวดูโลกกว้าง

ใครคิดว่าการไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ไม่สำคัญกัน การท่องเที่ยวถือเป็นการรักษาอีกแบบหนึ่งเลยทีเดียว เพราะเวลาที่เราไปเที่ยว เราจะรู้สึกผ่อนคลาย ถือเป็นการ Relax ร่างกายโดยตรงอีกทาง ซึ่งมีผลวิจัยวิทยาศาสตร์ออกมาว่า หลังจากกลับมาจากท่องเที่ยว ร่างกายจะยังคงอิ่มเอมไปด้วยความสุขต่อเนื่องไปอีกราวๆ 3-7 วัน โดยอ้างอิงจากการวัดมวลความสุขของอาสาสมัครซึ่งพบว่า ร่างกายของคนที่ได้ไปเที่ยวจะยังคงรู้สึกผ่อนคลาย มีระดับความเครียดค่อนข้างต่ำ และพบว่ามีอารมณ์ดียาวไปเกือบ 1 สัปดาห์หลังจากกลับถึงบ้านเลยทีเดียว

 

ทำสมาธิ ทำจิตใจให้สงบ

การทำสมาธิ สามารถปฏิบัติได้ด้วยตัวเองและยังสามารถทำได้ทุกที่ ไม่จำกัดว่าต้องไปทำที่วัดเท่านั้น สามารถทำได้ทุกอิริยาบถ ไม่ว่าจะนั่ง นอน หรือยืน ไม่มีข้อจำกัดด้านอายุ ผู้ที่กำลังนอนป่วยก็ทำได้ หลักสำคัญของการทำสมาธิ คือ การเอาใจไปจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพียงอย่างเดียว

วิธีที่แนะนำ คือ การนับลมหายใจของตัวเองเป็นหลัก และยุติการคิดเรื่องอื่นๆ อย่างสิ้นเชิง การทำสมาธิจะช่วยให้จิตใจสงบปลอดความคิดฟุ้งซ่าน ความกังวล เศร้า โกรธ ซึ่งเป็นผลมาจากความเครียด

 

ออกกำลังกาย

เราอาจจะเคยได้ยินที่คนพูดกันว่าการออกกำลังกายช่วยทำให้หายเครียดได้ ทั้งที่เราคิดว่ามันทั้งหนักและเหนื่อย สู้กลับบ้านไปนอนยังจะดีกว่า แอดมินเลยจะมาอธิบายว่าการออกกำลังกายแก้เครียด สามารถทำได้จริงและสามารถพิสูจน์ได้ในทางวิทยาศาสตร์ แต่อย่างไรก็ตาม เราต้องออกกำลังกายอย่างพอดี ไม่เบาหรือหนักจนมากเกินไป

ในขณะออกกำลังกาย ร่างกายจะหลั่งสารเอนดอร์ฟิน (Endorphin) ซึ่งเป็นสารที่ช่วยให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย โดยจะส่งผลมากที่สุดในช่วง 90 -120 นาที โดยจะต้องเป็นการออกกำลังกายที่พอเหมาะกับความสามารถของร่างกาย อีกทั้งยังช่วยให้ร่างกายของเราแข็งแรง โดยที่ไม่ต้องพึ่งยาจากแพทย์เลย

 

สรุป

‘ความเครียด’ เป็นสิ่งที่เราสามารถพบเจอได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะมาจากเรื่องงาน เรื่องสภาพแวดล้อม เรื่องครอบครัว เรื่องคนรัก หรือเรื่องรอบตัวต่างๆ ก็สามารถทำให้เราเครียดได้ ดังนั้น เราจึงต้องจัดการกับความเครียดที่มีของเราให้ดี โดยเริ่มจากการปรับเปลี่ยนสุขภาพจิตที่ย่ำแย่ของเราก่อนเลย เพราะหากสุขภาพจิตไม่ดี สุขภาพกายก็จะไม่ดีตามไปด้วย ลองทำตามวิธีที่แอดมินแนะนำไปนะคะ ได้ผลดีไม่ดียังไงก็มาแชร์กันได้เลย

 

บทความแนะนำ

Author Image

Sunny

Happy Work Happy Life